ความแตกต่างระหว่าง PDPA กับ GDPR
DeeCookie Team
ทีมพัฒนา DeeCookie ที่มีประสบการณ์ด้าน Privacy Technology

ทำไมต้องรู้จัก PDPA และ GDPR
ในยุคดิจิทัลที่ธุรกิจไร้พรมแดน การเข้าใจกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลทั้ง PDPA ของไทยและ GDPR ของยุโรปจึงเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ว่าคุณจะเป็นธุรกิจไทยที่มีลูกค้าต่างชาติ หรือบริษัทข้ามชาติที่เข้ามาทำธุรกิจในไทย
สถิติที่น่าสนใจ: ธุรกิจไทยกว่า 70% ที่มีลูกค้าในยุโรปยังไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่าง PDPA และ GDPR
PDPA vs GDPR: ภาพรวมเปรียบเทียบ
หัวข้อ | PDPA (ไทย) | GDPR (ยุโรป) |
---|---|---|
ใช้บังคับ | 1 มิถุนายน 2565 | 25 พฤษภาคม 2561 |
ขอบเขต | ข้อมูลในประเทศไทย | ข้อมูลของประชาชน EU |
ค่าปรับสูงสุด | 5 ล้านบาท | 4% ของรายได้ทั่วโลก |
อายุความยินยอม | 10 ปี (เด็ก) | 16 ปี (แตกต่างตามประเทศ) |
DPO | ไม่บังคับ | บังคับในบางกรณี |
การแจ้งละเมิด | ไม่เกิน 72 ชั่วโมง | ไม่เกิน 72 ชั่วโมง |
ความเหมือนระหว่าง PDPA และ GDPR
1. หลักการพื้นฐาน
ความยินยอมต้องชัดเจน เฉพาะเจาะจง และเพิกถอนได้
ข้อมูลต้องถูกต้อง ทันสมัย และเก็บเท่าที่จำเป็น
มีสิทธิเข้าถึง แก้ไข และลบข้อมูล
2. การจัดหมวดหมู่ข้อมูล
ข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป
ข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว
ข้อมูลเด็ก (มีการป้องกันพิเศษ)
3. สิทธิของเจ้าของข้อมูล
สิทธิเข้าถึงข้อมูล
สิทธิแก้ไขข้อมูล
สิทธิลบข้อมูล
สิทธิโอนข้อมูล
ความแตกต่างสำคัญ 8 ประการ
1. ขอบเขตการบังคับใช้
PDPA:
เฉพาะข้อมูลที่ประมวลผลในประเทศไทย
ครอบคลุมทั้งภาครัฐและเอกชน
มีข้อยกเว้นสำหรับความมั่นคงแห่งชาติ
GDPR:
ข้อมูลของชาวยุโรปทุกคน ไม่ว่าจะประมวลผลที่ไหน
บริษัทนอก EU ที่มีลูกค้า EU ต้องปฏิบัติตาม
เน้นการคุ้มครองข้ามพรมแดน
2. ค่าปรับและบทลงโทษ
PDPA:
ค่าปรับสูงสุด 5 ล้านบาท
คิดตามความร้าายแรงของการละเมิด
ยังไม่มีการบังคับใช้อย่างเข้มงวด
GDPR:
ค่าปรับสูงสุด 4% ของรายได้ทั่วโลก หรือ 20 ล้านยูโร
มีการบังคับใช้จริงแล้ว
Google ถูกปรับ 4.3 พันล้านบาทในปี 2021
3. การขอความยินยอมจากเด็ก
PDPA:
เด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง
เด็ก 10-20 ปี สามารถให้ความยินยอมเองได้ในบางกรณี
GDPR:
เด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง
แต่ละประเทศ EU สามารถลดลงได้ถึง 13 ปี
4. Data Protection Officer (DPO)
PDPA:
ไม่บังคับให้แต่งตั้ง DPO
แต่แนะนำให้มีผู้รับผิดชอบด้านการคุ้มครองข้อมูล
GDPR:
บังคับแต่งตั้ง DPO ในกรณี: หน่วยงานภาครัฐ, ประมวลผลข้อมูลในระดับใหญ่, ติดตามพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ
5. การประเมินผลกระทบ (DPIA)
PDPA:
ไม่ได้กำหนดให้ทำ DPIA เป็นบังคับ
แต่ต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสม
GDPR:
บังคับทำ DPIA เมื่อมีความเสี่ยงสูง
ต้องส่งให้หน่วยงานกำกับดูแลในบางกรณี
6. การแจ้งเหตุละเมิดข้อมูล
PDPA:
แจ้ง สคส. ภายใน 72 ชั่วโมง
แจ้งเจ้าของข้อมูลเมื่อมีความเสี่ยงสูง
ยังไม่มีรายละเอียดชัดเจนในการปฏิบัติ
GDPR:
แจ้งหน่วยงานภายใน 72 ชั่วโมง
แจ้งเจ้าของข้อมูลภายใน 72 ชั่วโมงหากมีความเสี่ยงสูง
มีรายละเอียดชัดเจนและมีการบังคับใช้จริง
7. การโอนข้อมูลข้ามชาติ
PDPA:
สามารถโอนได้หากประเทศปลายทางมีมาตรฐานเพียงพอ
หรือได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล
ยังไม่มี Adequacy Decision
GDPR:
เข้มงวดมาก มีกลไกการรับรองต่างๆ
Adequacy Decision, Standard Contractual Clauses
การโอนไปยังประเทศที่ไม่ได้รับการรับรองทำได้ยาก
8. กำหนดเวลาการเก็บข้อมูล
PDPA:
เก็บได้เท่าที่จำเป็นตามวัตถุประสงค์
ไม่กำหนดระยะเวลาชัดเจน
GDPR:
เก็บได้เท่าที่จำเป็น และต้องมีการทบทวนเป็นระยะ
เน้นหลักการ Data Minimization มากกว่า
กรณีศึกษา: ธุรกิจไทยที่มีลูกค้า EU
บริษัท Thai E-Commerce จำกัด
สถานการณ์:
เป็นเว็บไซต์ขายของไทยที่มีลูกค้าในยุโรป 15%
ใช้ Google Analytics และ Facebook Pixel
เก็บข้อมูลการสั่งซื้อและที่อยู่จัดส่ง
ความท้าทาย:
ต้องปฏิบัติตาม PDPA สำหรับลูกค้าไทย
ต้องปฏิบัติตาม GDPR สำหรับลูกค้า EU
ต้องจัดการ Cookie Consent ที่แตกต่างกัน
วิธีแก้ไข:
สร้าง Privacy Policy แยกตามภูมิภาค
ใช้เครื่องมือ Cookie Consent ที่รองรับหลายมาตรฐาน
จัดทำกระบวนการตอบสนองสิทธิแยกตามกฎหมาย
Cookie Consent กับ PDPA vs GDPR
ความเหมือน:
ต้องขอความยินยอมก่อนเก็บ Cookie ที่ไม่จำเป็น
ต้องมี Cookie Policy ที่ชัดเจน
ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าได้
ความแตกต่าง:
PDPA:
ยังไม่มีการบังคับใช้เข้มงวด
สามารถใช้ Implied Consent ได้ในบางกรณี
การจัดหมวดหมู่ Cookie ยืดหยุ่นกว่า
GDPR:
บังคับใช้เข้มงวดมาก
ต้องเป็น Explicit Consent เท่านั้น
ต้องแยกหมวดหมู่ Cookie อย่างชัดเจน
เครื่องมือจัดการ Cookie Consent
สำหรับธุรกิจไทยที่ต้องการปฏิบัติตาม PDPA:
DeeCookie - โซลูชันคนไทย
ผลิตภัณฑ์คนไทย เข้าใจกฎหมายไทย
ใช้ฟรี ไม่ต้องบัตรเครดิต
ติดตั้งง่าย 4 ขั้นตอน
รองรับ WordPress
มี Live Demo ทดลองใช้
คำแนะนำสำหรับธุรกิจไทย
1. ธุรกิจที่มีลูกค้าเฉพาะในไทย
เน้นปฏิบัติตาม PDPA
ใช้เครื่องมือคนไทยเช่น DeeCookie
ประหยัดค่าใช้จ่ายและได้ Support ภาษาไทย
2. ธุรกิจที่มีลูกค้า EU
ต้องปฏิบัติตาม GDPR อย่างเข้มงวด
ลงทุนในเครื่องมือที่รองรับมาตรฐานสากล
พิจารณาจ้างที่ปรึกษาด้านกฎหมาย
2. เตรียมพร้อมสำหรับอนาคต
กฎหมายคุ้มครองข้อมูลจะเข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ
การลงทุนในระบบที่ดีตั้งแต่ต้นจะประหยัดในระยะยาว
อบรมพนักงานให้มีความรู้เรื่องการคุ้มครองข้อมูล
อนาคตของกฎหมายคุ้มครองข้อมูล
แนวโน้มที่เกิดขึ้น:
1. การปรับปรุง PDPA
คาดว่าจะมีการปรับปรุงให้เข้มงวดขึ้น
อาจเพิ่ม DPO requirement
ค่าปรับอาจเพิ่มขึ้น
2. GDPR 2.0
การปรับปรุงเพื่อรองรับ AI
กฎระเบียบเกี่ยวกับ Cookie ที่เข้มงวดขึ้น
การควบคุม Cross-border Data Transfer
3. Global Privacy Convergence
กฎหมายทั่วโลกมีแนวโน้มเข้าหากันมากขึ้น
มาตรฐานสากลสำหรับ Cookie Consent
เครื่องมือจัดการที่รองรับหลายกฎหมาย
สรุป: การเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสม
PDPA และ GDPR มีความเหมือนในหลักการพื้นฐาน แต่แตกต่างในรายละเอียดการปฏิบัติ GDPR เข้มงวดกว่า PDPA อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในเรื่องค่าปรับและการบังคับใช้
3 ข้อสำคัญที่ต้องจำ:
GDPR เข้มงวดกว่า PDPA หากปฏิบัติตาม GDPR แล้วมักจะผ่าน PDPA
Cookie Consent เป็นจุดเริ่มต้น เลือกเครื่องมือที่เหมาะกับธุรกิจ
เตรียมพร้อมตั้งแต่วันนี้ กฎหมายจะเข้มงวดขึ้นในอนาคต